Page Speed Optimization ปรับความเร็วเว็บไซต์ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ 10 เท่า

อ่านจบใน 2 นาที

Page Speed Optimization ปรับความเร็วเว็บไซต์

Page Speed คืออะไร ความเร็วของเว็บไซต์คืออะไร สำคัญต่อเว็บไซต์อย่างไร?

Page Speed หมายถึงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในประสบการณ์ผู้ใช้งานเว็บไซต์ การมี Page Speed ที่ดีสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีกับเว็บไซต์และมีโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือการทำธุรกิจกับเว็บไซต์นั้นๆมากขึ้น

Page Speed ได้รับการวัดและประเมินโดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google PageSpeed Insights หรือ Lighthouse ซึ่งจะให้คะแนนและแสดงข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาหรือข้อแนะนำในการปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์ เช่น การย่อขนาดไฟล์รูปภาพ การใช้แคช การลดการรอให้ข้อมูลหรือแสดงผลด้านการโหลด เป็นต้น

เว็บโหลดเร็วเท่ากับโอกาสทางธุรกิจดีขึ้น Page Speed ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อย่างไร ?

Page Speed มีความสำคัญอย่างมากในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจดังนี้:

ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี: เว็บไซต์ที่โหลดได้อย่างรวดเร็วจะสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีและน่าพอใจมากขึ้น ผู้ใช้จะมีความพึงพอใจในการใช้งานและการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ เพิ่มโอกาสในการกลับมาใช้งานอีกครั้งและแบ่งปันเว็บไซต์ของคุณกับผู้อื่น
ระยะเวลาการเข้าชมที่ยาวขึ้น: เว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะช่วยลดระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องใช้ในการรอให้เว็บไซต์โหลด นั่นหมายความว่าผู้ใช้จะมีเวลามากขึ้นในการเรียกดูเนื้อหาและติดต่อกับธุรกิจของคุณ ทำให้มีโอกาสสร้างความสนใจและกำลังซื้อสินค้าหรือบริการจากเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น
การทำ SEO และการอันดับในการค้นหา: ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นตัวช่วยในการปรับปรุงการทำ SEO และการอันดับในผลการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ การโหลดเร็วช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่จะปรากฏในผลการค้นหาอันดับสูงขึ้น ซึ่งส่งผลในการเพิ่มโอกาสในการได้รับการเข้าชมและการเปิดโอกาสทาง

เว็บโหลดเร็วเท่ากับรายได้เพิ่มขึ้น

เว็บไซต์ที่โหลดเร็วสามารถช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจของคุณได้ในหลายด้าน:

อัตราการแปลง (Conversion Rate) ที่เพิ่มขึ้น: เว็บไซต์ที่โหลดได้อย่างรวดเร็วช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น การลดเวลาที่ผู้ใช้ต้องใช้ในการรอเว็บไซต์โหลด จะทำให้มีโอกาสที่ผู้ใช้จะดำเนินการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งส่งผลในการเพิ่มรายได้ของธุรกิจของคุณ
การสนับสนุนการทำงานของการตลาดออนไลน์: เว็บไซต์ที่โหลดเร็วช่วยให้แคมเปญการตลาดออนไลน์ของคุณมีผลสำเร็จมากขึ้น ผู้ใช้จะมีความพึงพอใจและสามารถเข้าถึงเนื้อหาการตลาดของคุณได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มโอกาสในการกดปุ่มเรียกใช้หรือทำธุรกิจกับคุณ
การเพิ่มโอกาสในการขายของคุณ: เว็บไซต์ที่โหลดเร็วช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการของคุณได้อย่างรวดเร็ว ความสะดวกและความรวดเร็วในกระบวนการสั่งซื้อสามารถเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการของคุณ
การสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น: เว็บไซต์ที่โหลดได้อย่างรวดเร็วส่งผลในการสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ ผู้ใช้มักจะมองว่าธุรกิจที่มีเว็บไซต์ที่โหลดเร็วเป็นธุรกิจที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลในการเพิ่มความไว้วางใจและการซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจของคุณ

ทั้งนี้การเพิ่มรายได้ของธุรกิจยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย นอกจากความเร็วในการโหลดเว็บไซต์แล้ว คุณยังต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่น่าสนใจ ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี การตลาดออนไลน์ที่เหมาะสม และการบริการลูกค้าที่ดีอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจของคุณ

อะไรบ้าง ที่ทำให้เว็บไซต์ช้า สาเหตุเว็บไซต์ที่โหลดช้า เช็คอย่างไร? 

มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้า ดังนี้:

ขนาดไฟล์ใหญ่: การใช้รูปภาพที่มีขนาดใหญ่หรือไฟล์แหล่งที่มีขนาดใหญ่โดยไม่จำเป็นอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้า เนื่องจากต้องใช้เวลาในการดาวน์โหลดไฟล์นั้นๆ
การโหลดข้อมูลจากแหล่งที่มาภายนอก: การโหลดข้อมูลจากแหล่งที่มาภายนอก เช่น การโหลดไฟล์ CSS, JavaScript หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่นอกเว็บไซต์ ที่มีปัญหาหรือการเชื่อมต่อช้า อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้า
ไม่มีการใช้งานแคช ตั้งค่าแคชไม่เหมาะสม: หากไม่มีการใช้งานแคชหรือไม่มีตั้งค่าแคชถูกต้องอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้า เนื่องจากต้องทำการร้องขอข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์เว็บไซต์ใหม่ทุกครั้ง โดยที่ไม่ได้ใช้ข้อมูลที่ถูกแคชไว้
การติดตั้งสคริปต์และปลั๊กอินที่ไม่เหมาะสม: การใช้งานสคริปต์หรือปลั๊กอินที่ไม่เหมาะสมหรือมีปัญหาอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้า เนื่องจากสคริปต์หรือปลั๊กอินที่มีข้อผิดพลาดอาจทำงานไม่ถูกต้องและใช้งานทรัพยากรมากเกินไป

เพื่อตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ คุณสามารถใช้เครื่องมือต่างๆที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เช่น Google PageSpeed Insights, Lighthouse, GTmetrix, WebPageTest เพื่อวัดและประเมินประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยเครื่องมือเหล่านี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาโหลดหน้าเว็บ ประสิทธิภาพของรูปภาพ การใช้แคช และปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลต่อความเร็วของเว็บไซต์

วิธีวัดค่า Page Speed ตรวจสอบความเร็ว เช็คความเร็วของเว็บไซต์ วัดความเร็วเว็บไซต์ยังไง ?  เครื่องมือเช็คความเร็วเว็บไซต์ มีอะไรบ้าง

มีเครื่องมือหลายตัวที่สามารถใช้เพื่อเช็คความเร็วของเว็บไซต์ โดยตัวอย่างเครื่องมือที่นิยมใช้ได้แก่:

Google PageSpeed Insights: เป็นเครื่องมือที่ให้คะแนนและแสดงข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ รวมถึงข้อแนะนำในการปรับปรุง Page Speed ตามเกณฑ์ของ Google.
Lighthouse: เป็นเครื่องมือใน Chrome DevTools ที่ให้คะแนนและวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในด้านต่างๆ เช่นการโหลดหน้าเว็บ การเรียกใช้งาน JavaScript และ CSS การใช้แคช เป็นต้น
GTmetrix: เครื่องมือที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ รวมถึงการวัดเวลาโหลดหน้าเว็บ และการแสดงผลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของรูปภาพ
WebPageTest: เป็นเครื่องมือที่ให้คุณทดสอบและวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์จากต่างๆ ตำแหน่งทั่วโลก โดยสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับการโหลดหน้าเว็บและประสิทธิภาพอื่นๆได้
Pingdom: เครื่องมือที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาโหลดหน้าเว็บ รวมถึงการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของรายละเอียดเช่นขนาดไฟล์และเวลาโหลดแต่ละส่วน

การใช้เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณวัดและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เพื่อให้มีประสบการณ์การเข้าชมที่ดีและความพร้อมในการแข่งขันในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ SEO และประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บ

เมื่อได้ผลการวัดความเร็วแล้ว คุณจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความเร็วของเว็บไซต์ และข้อแนะนำในการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อให้เว็บไซต์โหลดได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้นได้

Pagespeed Insights หรือ Google Page Speed คืออะไร ?

Google PageSpeed เป็นเครื่องมือจาก Google ที่ใช้ในการวัดและประเมินประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในเรื่องของความเร็วและประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed) ซึ่งมีผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้งานและการทำ SEO (Search Engine Optimization) ของเว็บไซต์นั้นๆ

Google PageSpeed ให้คะแนนและแสดงข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาหรือข้อแนะนำในการปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์ โดยเน้นไปที่ด้านการโหลดหน้าเว็บอย่างรวดเร็ว รวมถึงด้านการประสิทธิภาพในการใช้งานและการเสถียรภาพของเว็บไซต์ เช่น การลดขนาดไฟล์รูปภาพ การใช้แคช การลดการรอให้ข้อมูลหรือแสดงผลด้านการโหลด เป็นต้น

การปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์ตามข้อแนะนำจาก Google PageSpeed สามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน และอาจมีผลต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของเครื่องมือการค้นหา เช่น Google Search ด้วย

Core Web Vital คืออะไร?

ขอบคุณภาพจาก https://web.dev/vitals/

Core Web Vitals (คอร์เว็บไวทัล) เป็นชุดของแนวทางและเกณฑ์ที่กำหนดโดย Google เพื่อวัดประสิทธิภาพการโหลดและประสบการณ์ผู้ใช้งานของหน้าเว็บ เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินคุณภาพเว็บไซต์และความสำคัญต่อการทำ SEO (Search Engine Optimization) ของเว็บไซต์

Core Web Vitals ประกอบด้วยเกณฑ์หลักที่สำคัญต่อประสบการณ์ผู้ใช้งาน ได้แก่:

Largest Contentful Paint (LCP): วัดเวลาที่ใช้ในการโหลดเนื้อหาหลักที่สำคัญในหน้าเว็บ เช่น รูปภาพหรือเนื้อหาข้อความสำคัญ โดยเกณฑ์คือให้เกิดภายใน 2.5 วินาทีหรือน้อยกว่า
First Input Delay (FID): วัดเวลาที่ใช้ในการตอบสนองของเว็บเมื่อผู้ใช้ทำการกระทำครั้งแรก เช่น การคลิกปุ่มหรือการกรอกแบบฟอร์ม โดยเกณฑ์คือให้มีค่าต่ำกว่า 100 มิลลิวินาที
Cumulative Layout Shift (CLS): วัดการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของเนื้อหาในหน้าเว็บที่เกิดขึ้นระหว่างการโหลด เช่น ข้อความหรือปุ่มที่เลื่อนไปมา โดยเกณฑ์คือให้มีค่าต่ำกว่า 0.1

การปรับปรุง Core Web Vitals จะช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และสามารถเพิ่มโอกาสในการเรียกดูเว็บไซต์ได้มากขึ้นผ่านการจัดอันดับในการค้นหาของ Google โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการค้นหาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

หลักการและวิธีการในการปรับความเร็ว Speed Optimize ปรับความเร็วเว็บไซต์

หลังจากที่เราได้ทราบองค์ประกอบต่างๆ ในการปรับความเร็วเว็บไซต์แล้ว ว่ามีอะไรบ้าง

ในส่วนนี้เราจะแนะนำวิธี เคล็ดลับ และเทคนิคปรับความเร็วเว็บไซต์ เพิ่ม PageSpeed ให้แซงหน้าคู่

แข่งทางธุรกิจ และทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้ ปลั๊กอินเพิ่มความเร็ว และหลายๆเทคนิค

1. เลือกโฮสติ้งและเซิร์ฟเวอร์ที่ดี : แนะนำ Ruk-com , Cloudway , WP Engine

wpengine.com

wpengine.com


2. เลือกธีมที่ดีและเหมาะสมกับเทรนด์ปัจจุบัน : แนะนำธีม Full site editing หรือ ธีมที่ใช้งานง่ายเช่น Blocksy , Gutenberg theme , Kadence , Generatepress , Plant theme จาก Seedwebs, Astra , Neve theme.

3. ติดตั้งปลั๊กอินเท่าที่จำเป็น : ติดตั้งปลั้กอินให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ หรือใช้ Snippet plugin ในการช่วยแทรกสคริป

4. ติดตั้งระบบจัดการปลั้กอิน (Plugin Management) : แนะนำปลั้กอินที่ชื่อว่า Asset Clean up

5. บีบอัดรูปภาพเพื่อให้เว็บโหลดไวขึ้น : แนะนำปลั้กอิน Shotpixel , EWWW


6. ติดตั้งระบบ Database Optimization : แนะนำปลั้กอิน Database Cleaner , Advance Database Cleaner

7. ใช้ Content Delivery Network เช่น Cloudflare, BunnyCDN หรือ CDN อื่นๆ

8. เก็บ Cache ใน เบราว์เซอร์

9. CSS Javascript Optimize ลดขนาดของสคริปภายในเว็บ : แนะนำ WP-Rocket , Flypress

10. ติดตั้งสคริปและข้อมูลจากเว็บ3rd party ให้น้อยที่สุด แต่หากจำเป็นต้องติดตั้ง Google Tag manager คะแนนจะเหลือน้อยลงนะครับ

11. ย้ายโฮสติ้ง : แนะนำ Cloudways สามารถช่วยย้ายโฮสติ้งได้

12. ใช้ Font ไม่เกิน 2 ตัว หรือใช้ System Fonts : แนะนำ Adobe font , Google font

13. อัพเดตปลั้กอิน ธีม และ เวิร์ดเพลสให้เวอร์ชั่นล่าสุด (อย่าลืม Backup ก่อนเสมอนะครับ)

สรุปเทคนิค ใช้ปลั้กอินไหน ทำให้เว็บเร็ว โฮสไหนดี Page builder ไหนดี ?

1. ใช้ปลั้กอินแคช WP-Rocket


2. ใช้โฮสติ้ง Ruk-com (WordPress Cloud แนะนำเดือนละ 150 บาท รวมแล้วเพียง 1,800 บาทต่อปี) หรือใช้ Cloudways หากมีงบ


3. ใช้ Page builder : Gutenberg หรือธีมเช่น Seedtheme , Plant3 theme , Kadence theme , Astra theme , Blocksy หลีกเลี่ยงการซื้อธีมสำเร็จรูปที่มีสคริปจำนวนมาก

WPMartech Suggestion

แนะนำ WP Rocket Plugin สำหรับปรับความเร็วเว็บไซต์ ที่ช่วยในด้านแคช

อาทิตย์ เอี่ยมปา
ติดตาม